ชงหรือไม่ อยู่ที่การกระทำ
เรื่องของปีชง เป็นการทำนายทายทักในรูปแบบของโหราศาสตร์จีนค่ะ โดยหลักคือปีชงก็คือปีที่อยู่ตรงกันข้าม เป็นปีคู่กัด เป็นปรปักษ์ เหมือนหมากับแมว คนจีนมักจะใช้ปีชงมาอิงกับการทำกิจกรรมต่างๆ ในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการงาน การหาคู่ครอง หรือ ปัญหาครอบครัว สำหรับปีชงปีนี้ หมายความว่าจังหวะชีวิตของคนปีนั้นๆ ทำอะไรก็จะมีอุปสรรค มีปัญหา ไม่ราบรื่น เช่นถ้าลงทุนก็มีความเสี่ยงในการขาดทุนสูง
ในทางพุทธศาสนานั้นไม่มีเรื่องของ “ปีชง” อยู่อย่างแน่นอน เพราะในทางพุทธ เราถือว่า ทุกอย่างมี “กรรม” กำหนดอยู่ กรรม ก็คือ การกระทำนั่นเอง แปลง่ายๆ ก็คือทำอะไรก็ได้อย่างนั้น ทุกอย่างเป็นผลจากรรมที่เรากระทำไปแล้ว (ทั้งชาตินี้ และชาติที่แล้ว) กรรมที่เรากระทำอยู่ และกรรมที่เราคิดจะกระทำต่อไป ไม่มีอะไรมากำหนดได้ว่าจะเกิดเรื่องดี หรือร้ายในภายภาคหน้า นอกจากกรรมที่เราทำมาแล้วทั้งสิ้น
แก้ชง…แก้ได้ แก้กรรม…แก้ไม่ได้
การแก้ปีชงนั้นมีพิธีกรรมที่เป็นไปตามหลักของโหราศาตร์จีนดังที่ ว่าไป ตามวัดจีนใหญ่ๆ มักมีการจัดไหว้หรือทำพิธีแก้ชงอย่างที่สาวๆ หลายคนรู้จักกันดีนะคะ หลายคนก็แก้ชงไปแล้วได้ความสบายใจกลับมา จุดนี้แม้ไม่มีใครรับรองว่าจะได้ผลหรือไม่ แต่หากทำแล้วสบายใจไม่ทำให้ตัวเองเดือดร้อนแล้ว จะทำก็ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แต่ถ้าถึงขั้นต้องเสียเงินเสียทอง เป็นหนี้เป็นสิน (บัตรเครดิต) เพื่อจะทำบุญแก้ชง แก้เคล็ดล่ะก็ คงไม่ใช่แล้วล่ะค่ะ
แก้ชงอาจจะแก้ได้ ปีไหนชงก็แก้ ปีไหนไม่ชงก็ไม่ต้องแก้ แต่กรรมที่ติดตัวมานั้น ในทางพุทธศาสนาแล้ว “แก้ไม่ได้” ค่ะ เพราะกรรมเป็นสิ่งที่กระทำไปแล้ว กรรมก็เหมือนลูกตุ้มน้ำหนักนั่นแหละค่ะ แกว่งไป มันก็ต้องแกว่งกลับมาหา เพียงแต่จะช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง บางคนเถียงว่าตัวเองแก้กรรมได้จริง ทำแล้วชีวิตเจริญรุ่งเรือง แบบนี้แก้กรรมทำได้ผลเห็นๆ
อยากจะบอกว่าหากพิจารณากันตามหลักแล้ว กรรมนั้นมีหลายประเภท มีความหนัก-เบาที่ไม่เท่ากัน อุปมาเหมือนคนที่ทำกรรมดีมาตลอดชีวิต ทำผิดเพียงเล็กน้อย กรรมนั้นย่อมใช้เวลานานกว่าจะส่งผล เช่นเดียวกับแม่น้ำสายใหญ่ ที่มีปลาเน่าเพียงหยิบมือ ย่อมไม่ส่งกลิ่นเหม็น แต่ซากปลานั้นยังคงอยู่ ไม่หายไปไหน รอวันเวลาที่จะส่งผล แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม ในทางกลับกัน คนที่ไม่เคยสร้างกรรมดีเลย ทำชั่วมาตลอดชีวิต ทำดีเพียงเล็กน้อยย่อมส่งผลช้า
เรื่องของปีชงเป็นเรื่องของโหราศาสตร์ และมายาศาสตร์จีน ไม่เกี่ยวกับพุทธศาสนาก็จริงค่ะ แต่องค์ความรู้ในศาสตร์อื่นที่นอกเหนือไปจากพุทธศาสนา ไม่ได้หมายความว่า จะต้องเป็นเรื่องไม่มีจริง ไม่มีผล หรืองมงายเสมอไปนะ ถึงแม้ในทางพุทธเราจะเชื่อว่าไม่มีศาสตร์ใดที่รู้แจ้งไปกว่าการตรัสรู้ของ พระพุทธองค์ แต่ไม่ได้หมายความว่า นอกจากการตรัสรู้ของพระพุทธองค์แล้ว ไม่มีความรู้อะไรอีกเลย ยังมีองค์ความรู้ในศาสตร์อื่นและภูมิปัญญาโบราณของทุกชนชาติทั่วโลกอีกมาก มาย ที่บางอันมีมาก่อนจะเกิดศาสนาพุทธเสียอีก
ศาสตร์เหล่านั้นเป็นความเชื่อที่เราต้องใช้สติในการไตร่ตรอง เอาเหตุเอาผลมาประกอบการตัดสินใจเสมอนนะคะ แล้วจะทำให้เราทำตามความเชื่อได้ โดยไม่งมงายค่ะ